
กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) แนวโน้มที่น่าจับตามองในสิงคโปร์
เทคโนโลยีทางการเงินได้เพิ่มความสะดวกสบายและปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้จ่ายเงินในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างต่อเนื่อง การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เทคโนโลยีทางการเงินขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในเครื่องมือการเงินออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างมากในสิงคโปร์ คือ กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยสองขั้น (2FA) ทั้งยังช่วยลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากไม่ต้องสัมผัสเงินสด ไม่ต้องพกเงินสดครั้งละมาก ๆ และสามารถตรวจสอบเงินในกระเป๋าผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอดเวลา ผู้ให้บริการบางรายยังจัดรายการสิทธิประโยชน์ อาทิ การสะสมคะแนนเพื่อแลกของสมนาคุณ ซึ่งช่วยดึงดูดผู้ใช้งานได้ดี
บริษัท Worldpay ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและการชำระเงินรายงานว่า จำนวนผู้ใช้งาน E-wallet ทั่วโลกบนตลาด e-commerce ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปี 2563 E-wallet เป็นรูปแบบการชำระเงินที่เป็นที่นิยมที่สุด คิดเป็น 44.5% ของการชำระเงินในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะคนจีนที่ใช้ E-wallet ในชีวิตประจำวันสูงถึง 72.1%
สถานการณ์ E-wallet ในสิงคโปร์
จากสถิติปี 2563 ตลาด e-commerce ในสิงคโปร์มีมูลค่าราว 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตจนมีมูลค่าถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 40% ในปี 2567 ปัจจุบัน รูปแบบการทำธุรกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสิงคโปร์ยังคงเป็นบัตรเครดิต คิดเป็น 45% ตามมาด้วย E-wallet คิดเป็น 20% โดย E-wallet ที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ GrabPay และ DBS Paylah! มีแนวโน้มที่จะเติบโตประมาณ 27% ในปี 2567
ผู้คนในสิงคโปร์มีแนวโน้มที่จะใช้ E-wallet มากขึ้นในการชำระเงินหน้าร้าน (point of sale – POS) โดยคาดว่าจะเติบโต 20% ในปี 2567 แม้ว่าในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่จะยังนิยมใช้บัตรเครดิตมากถึง 38% รองลงมา คือ การใช้จ่ายด้วยเงินสดคิดเป็น 26% อย่างไรก็ตาม การใช้เงินสดในตลาด POS มีแนวโน้มที่จะลดลงในช่วงต่อจากนี้
การสนับสนุนจากภาครัฐ
ตั้งแต่ปี 2561 รัฐบาลสิงคโปร์ โดยหน่วยงาน Enterprise Singapore (ESG) ภายใต้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการสื่อสารและสารสนเทศ (InfoComm Media Development Authority – IMDA) คณะกรรมการการเคหะและพัฒนาบ้านพักอาศัยแห่งชาติ (Housing and Development Board – HDB) หน่วยงาน JTC Corporation และ สำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environment Agency – NEA) ร่วมกันจัดทำ “โครงการ SGQR” เพื่อพัฒนา QR code สำหรับการชำระเงินรวมกันหนึ่งเดียวทั้งประเทศ นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการสร้างระบบการชำระเงินแบบครบวงจร “Unified e-Payment Solution” ซึ่งรองรับการชำระเงินผ่านผู้ให้บริการด้าน E-wallet 19 ราย ซึ่งรวมถึง DBS PayLah! GrabPay และ Singtel Dash และได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ประกอบการ ร้านค้า และประชาชน

แหล่งที่มา: InfoComm Media Development Authority
(https://www.imda.gov.sg/-/media/imda/files/about/media-releases/2018/annex-a–singapore-quick-response-code-sgqr.pdf?la=en)
จากนั้น ในปี 2562 สิงคโปร์ได้ริเริ่มการชำระเงินผ่านทาง E-wallet ด้วย QR code ที่ร้านค้าในศูนย์อาหารท้องถิ่น (hawker center) 500 ร้านทั่วสิงคโปร์และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีมานี้ โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ร้านอาหารใน hawker center กว่า 10,000 ราย ได้ติดตั้ง QR code เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลจาก IMDA ระบุว่า เดือนมกราคม 2564 มีปริมาณการทำธุรกรรมกว่า 1.2 ล้านครั้ง มูลค่ารวม 14 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อสังเกต
ธนาคารกลางสิงคโปร์มอบหมายให้บริษัท KPMG สำรวจระบบนิเวศการชำระเงิน (payment ecosystem) ในสิงคโปร์ โดยทำการสำรวจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับระบบการชำระเงินทั่วโลกมากกว่า 2,500 ราย จากการสำรวจ บริษัทฯ แนะนำว่า สิงคโปร์สามารถพัฒนาศักยภาพเพื่อปรับปรุงระบบการชำระเงิน ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลและวิสัยทัศน์ชาติอัจฉริยะ (Smart Nation) ของสิงคโปร์ ใน 3 ด้าน ได้แก่ (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งรวมถึงการสร้างระบบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ (2) การพัฒนาระบบการจัดการ เช่น การจัดทำพิมพ์เขียวเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมการชำระเงิน และ (3) การพัฒนาบริการแก้ไขปัญหาและบูรณาการระบบเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เช่น การปรับปรุงประสบการณ์ผู้บริโภคที่ใช้งานระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดซื้อขาย (Electronic Funds Transfer at Point of Sale – EFTPOS) กับการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบไร้รอยต่อ
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก Worldpay รายงานว่า ปี 2564 การชำระเงินด้วยเงินสดยังคงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในตลาด POS คิดเป็น 63% ของการทำธุรกรรมการชำระเงินทั้งหมด ในขณะที่การโอนเงินผ่านธนาคาร (bank transfer) ได้รับความนิยมในตลาด e-commerce 37% ที่ผ่านมาภาครัฐและเอกชนในไทยต้องการพัฒนาให้ไทยเป็นสังคมไร้เงินสด (cashless society) โดยธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมมือกับผู้บริการเครือข่ายบัตรเครดิตระดับโลกพัฒนา “Thai QR Standard” ครั้งแรกเมื่อปี 2561 เพื่อสร้างมาตรฐานกลางของการชำระเงินด้วย QR code ในไทย อย่างไรก็ดี ธุรกิจ E-wallet ในไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ผู้ให้บริการในประเทศไทยสามารถใช้จุดแข็งและข้อดีของระบบ E-wallet ข้างต้น เพื่อเพิ่มแรงจูงใจและเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้จ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจในการจัดการการเงินและต่อลูกค้าที่จะได้รับความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยจาก E-wallet
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์