สถานการณ์โควิด-19 และการทำงานทางไกล (Remote Working) ได้ส่งผลให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่ง เริ่มทบทวนบทบาทของการมีสำนักงานประจำภูมิภาค ว่ายังจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในยุคหลังโควิด-19 ในส่วนของประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีฐานะเป็นศูนย์กลางของสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติขนาดจำนวนมาก จึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเกิดคำถามสำคัญตามมาว่า ประเทศสิงคโปร์จะยังคงสถานะการเป็นศูนย์กลางของสำนักงานประจำภูมิภาคที่สำคัญต่อไปได้หรือไม่

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 หนังสือพิมพ์ The Business Times ได้นำเสนอบทความ เรื่อง Singapore hub status intact as remote work sees smaller but more HQs ให้ความเห็นว่า ถึงแม้เหตุการณ์โควิด-19 จะทำให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายแห่งในสิงคโปร์พิจารณาปรับลดขนาดของสำนักงานลง แต่ในทางกลับกัน พบว่ามีการจัดตั้งสำนักงานขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งข้อมูลนี้ นาย Harvey Neo ตำแหน่งหัวหน้าหลักสูตรเมืองนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design – SUTD) มีความเห็นว่า การแยกสำนักงานขนาดใหญ่ออกเป็นสำนักงานขนาดเล็กลงนั้นไม่ใช่แนวคิดใหม่การเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นเพียงตัวเร่งให้สำนักงานขนาดใหญ่ต่าง ๆ ปรับตัว/แยกออก/ตั้งใหม่ ในรูปแบบสำนักงานขนาดเล็กเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ สำนักงานขนาดเล็กมีข้อดี คือ ช่วยให้การทำงานสามารถมุ่งเป้าไปยังทักษะ/ความเชี่ยวชาญของตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น ประเทศสิงคโปร์จึงมีจำนวนสำนักงานมากขึ้น ถึงแม้ว่าแต่ละสำนักงานจะมีขนาดเล็กลง และเชื่อว่าประเทศสิงคโปร์จะยังสามารถคงบทบาทการเป็นศูนย์กลางของสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคได้ต่อไปดังเดิม

มุมมองจากภาคเอกชนซึ่งมีสำนักงานประจำภูมิภาคตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์

นาย Chris Archibold ผู้บริหารของ JLL Singapore (บริษัทข้ามชาติด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐฯ) เห็นว่า การทำงานในสำนักงานยังคงมีความจำเป็น อีกทั้งเหตุการณ์โควิด-19 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลสิงคโปร์ในการรับมือ/จัดการกับโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่บริษัทข้ามชาติต้องย้ายออกจากประเทศสิงคโปร์

นาย Wong Xian Yang ผู้บริหารของ Cushman and Wakefield (บริษัทข้ามชาติด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐฯ) กล่าวว่า ประเทศสิงคโปร์จะยังคงบทบาทการเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญต่อไป เนื่องจากประเทศสิงคโปร์เป็นศูนย์รวมบุคลากร/ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่มีความสามารถ อีกทั้งยังเชื่อว่าการกลับมาทำงานร่วมกันในสำนักงานยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยลดปัญหาจากการสื่อสารผิดพลาดในทีม และช่วยให้กระบวนการตัดสินใจร่วมกันในทีมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นาย David McKellar ผู้บริหารของ CBRE (บริษัทข้ามชาติด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และการลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศสหรัฐฯ) กล่าวว่า สำนักงานยังคงมีความสำคัญ และเห็นว่าการทำงานทางไกลไม่ควรมากเกินกว่า 1 – 2 วันต่อสัปดาห์ อีกทั้งได้ยกตัวอย่าง 2 บริษัทชั้นนำที่ยังคงเลือกจัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ในประเทศสิงคโปร์ ได้แก่ 1) เมื่อเดือนธันวาคม 2563 บริษัท Zoom Video Communications ประกาศจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) โดยพิจารณาจาก ความสะดวกในการจัดตั้ง/ดำเนินธุรกิจ การมีบุคลากรที่มีความสามารถเป็นเลิศ การมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี และ 2) เมื่อเดือนกันยายน 2563 บริษัท ByteDance ประกาศจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเหตุผลสำคัญ คือ ประเทศสิงคโปร์มีความเป็นกลาง

นาย Lee Chiew Chiat ผู้บริหารของ Deloitte Southeast Asia ตั้งข้อสังเกตว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายบริษัทปรับลดจำนวนพนักงานในสายงานประจำที่สามารถทำงานทางไกลได้ และไปตั้งสำนักงานในประเทศอื่น ๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่า แต่ในทางตรงกันข้าม สายงานที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์และนวัตกรรม (Strategy and Innovation) ยังจำเป็นต้องทำงานร่วมกันในสำนักงาน เพื่อร่วมระดมความคิด/อภิปรายร่วมกันเป็นทีม และเห็นว่าประเทศสิงคโปร์กำลังใช้โอกาสนี้ในการสร้างมูลค่าให้กับตนเอง ด้วยการนำเสนอความเป็นผู้นำในตลาดนวัตกรรม (อาทิ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าหรือบริการ รวมถึงเทคโนโลยีด้าน Automation และ AI) และเมื่อรวมกับจุดแข็งของประเทศสิงคโปร์คือ กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทันสมัย ความพร้อมของทรัพยากรบุคคลในสายงานระดับผู้ชำนาญการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญ (Professionals, Managers, Executives and Technicians – PMETs) จึงส่งผลให้ประเทศสิงคโปร์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางของสำนักงานประจำภูมิภาคต่อไป

Mixed Use Development: อาคารแนวใหม่ที่กำลังจะมาแทนที่สำนักงานในรูปแบบเดิม

รูปแบบสำนักงานในยุคก่อนโควิด-19 กำลังจะหมดไป สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ คือ Mixed Use Development หรือโครงการที่มีทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย สำนักงาน ศูนย์การค้า และพื้นที่เอนกประสงค์ ที่รวมอยู่ในอาคารเดียว

นาง Wee Wei Ng ผู้บริหารของ Accenture Singapore เห็นว่า Mixed-Use Development ซึ่งออกแบบโดยคำนึงถึงพฤติกรรมและความพึงพอใจของพนักงานเป็นหลัก จะเติบโตไปพร้อมกับการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working Structure) หรือการอนุญาตให้พนักงานทำงานได้จากทุกที่ ไม่ต้องเข้าสำนักงานทุกวัน

ศาสตราจารย์ Tay Kheng Soon จากภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore – NUS) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนการเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 รัฐบาลสิงคโปร์มีแผนระยะยาวเพื่อปรับปรุงศูนย์กลางธุรกิจของสิงคโปร์ (Central Business District – CBD) โดยการลดจำนวนพื้นที่สำนักงานลงและเพิ่มพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น แต่ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่า แผนการดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นการเพิ่มพื้นที่พักอาศัยในย่าน CBD เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working Structure) และวิถีชีวิตผู้คนมากขึ้น

.รองศาสตราจารย์ Walter Edgar Theseira หัวหน้าภาควิชาการขนส่งในเมือง ของมหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์แห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Social Sciences – SUSS) ให้ข้อสังเกตว่า เหตุผลหลักที่บริษัทต่างชาติเข้ามาจัดตั้งสำนักงานระดับภูมิภาคในประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากข้อได้เปรียบ เรื่อง การเป็นศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาค ทำให้ผู้ที่มาประจำการในประเทศสิงคโปร์สามารถเดินทางไปแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ปัญหาสำคัญ ณ ตอนนี้ คือ ประเทศสิงคโปร์จะต้องเร่งฟื้นฟูการเดินทาง และเจรจาการจัดทำ Air Travel Bubble (ATB) กับประเทศต่าง ๆ อย่างจริงจัง เพราะหากไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศสิงคโปร์ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่บริษัทต่างชาติเหล่านี้จะตั้งสำนักงานระดับภูมิภาคต่อไปในประเทศสิงคโปร์


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง