สิงคโปร์กำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะจากเชื้อ B16172 เชื้อกลายพันธุ์คู่จากประเทศอินเดีย เชื้อ B117 จากสหราชอาณาจักร เชื้อ B1351 จากแอฟริกาใต้ และเชื้อ P1 จากบราซิล ต้นเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์สูงถึง 43 ราย จาก 10 กลุ่ม (clusters) ซึ่งเป็นการระบาดที่รุนแรงที่สุดในสิงคโปร์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่เมื่อปี 2563 สิงคโปร์เผชิญกับวิกฤตการณ์แพร่ระบาดในหอพักแรงงานต่างชาติ ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก

รัฐบาลสิงคโปร์ได้ถอดบนเรียนจากวิกฤตปีก่อนหน้า และเริ่มมาตรการควบคุมการเดินทางข้ามพรมแดนและการกักตัวอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 23:59 น. ผู้ถือบัตรพักอาศัยระยะยาว (long-term pass) และระยะสั้น (short-term visitors) ที่มีประวัติการเดินทางไปประเทศอินเดียในช่วง 14 วันก่อนหน้าการเดินทางมายังสิงคโปร์ จะถูกห้ามเดินทางเข้าหรือเปลี่ยนเครื่องบินที่สิงคโปร์ จากนั้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลา 23:59 น. ได้ขยายมาตรการครอบคลุมที่มีประวัติเดินทางไปเอเชียใต้อีก 4 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา ก็ถูกห้ามเข้าสิงคโปร์เช่นกัน

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 เวลา 23:59 น. สิงคโปร์ได้เพิ่มระยะเวลาการกักตัวผู้เดินมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสูง จาก 14 วัน เป็น 21 วัน ซึ่งประเทศไทยก็ถูกปรับมาอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย และในวันเดียวกัน กระทรวงแรงงานสิงคโปร์ได้ประกาศหยุดรับคำขอมีบัตรอนุญาตทำงานในสิงคโปร์จากประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งรวมถึงบัตรอนุญาตทำงาน (Work Permit) บัตรประเภท S Pass และ Employment Pass (E Pass) ทั้งนี้ ผู้สมัครที่ได้รับอนุมัติบัตรอนุญาตทำงานก่อนการประกาศ ก็จะถูกเลื่อนกำหนดการเข้ามาทำงานในสิงคโปร์ออกไปเช่นกัน ยกเว้นสายงานที่สิงคโปร์ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติอย่างยิ่ง คือ การก่อสร้าง อุตสาหกรรมการต่อเรือ การเดินเรือและอุตสาหกรรมกระบวนการ (Process Industry) และพนักงานทำความสะอาดบ้าน (Foreign Domestic Workers)

การยกระดับมาตรการเข้าเมืองเพื่อควบคุมโรคระบาดดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อตลาดทรัพยากรมนุษย์และแรงงานในสิงคโปร์ เนื่องจากเป็นประเทศขนาดเล็กและมีแรงงานไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติในสายงานต่างๆ ที่มีผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชน เช่น การก่อสร้างสาธารณูปโภค เคหสถาน สายงานบริการ และการดูแลผู้สูงอายุและเด็ก รวมทั้งส่งผลเชิงลบต่อสายงานธุรกิจต่างๆ ในสิงคโปร์ มีดังนี้

อุตสาหกรรมก่อสร้าง โครงการก่อสร้างที่พักอาศัย โครงการสร้างตามสั่ง ต้องเผชิญกับปัญหางานก่อสร้างล่าช้าเนื่องจากขาดแคลนแรงงานข้ามชาติซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศอินเดียและเอเชียใต้ และอาจจะทำให้โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชนที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปีนี้ต้องล่าช้าไปอีกอย่างน้อยหนึ่งปี

สายงานบริการทำความสะอาด Cramoil Singapore บริษัทด้านการกำจัดและบำบัดของเสียที่เป็นพิษกำลังเผชิญปัญหาจากการที่จำนวนพนักงานทำความสะอาดเต็มอัตรา 50 คน ลดลงเหลือ 36 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นแรงงานต่างชาติ ทำให้พนักงานที่เหลืออยู่ต้องทำงานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาวะโรคระบาดที่บริษัทต้องรวบรวมและกำจัดของเสียไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อโควิด- 19 เข็มฉีดยาสำหรับการตรวจโลหิตเพื่อหาเชื้อฯ และชุด PPE ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กักตัว ด่านตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ฉีดวัคซีน หรือบริษัททำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อ ทั้งนี้ บริษัทได้พยายามรับสมัครพนักงานที่เป็นชาวสิงคโปร์ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงในการทำงานประเภทนี้

ธนาคารและภาคการเงิน แม้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงนัก เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่เป็นคนสิงคโปร์ แต่ก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้างในตลาดการเงินการธนาคารที่เกี่ยวข้องกับอินเดีย และในด้านการจ้างงาน ถึงแม้ว่าธนาคารและภาคการเงินจะยังสามารถจ้างผู้ทำงานจากประเทศและภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่ำในการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มเติม แต่ทรัพยากรมนุษย์จากเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังเป็นทรัพยากรสำคัญที่ทดแทนได้ยาก นอกจากนี้ถึงแม้การจ้างงานทางไกลหรือให้ทำงานออนไลน์จะเป็นทางเลือกในสถานการณ์นี้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่น ข้อมูลการเงินสำคัญของบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจประเภทนี้ ดังนั้น สิ่งที่ธนาคารพอจะทำได้คือการลดการพึ่งพาการใช้แรงงานมนุษย์และเพิ่มการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น

สายงานเทคโนโลยี เป็นสายงานที่ดำเนินธุรกิจโดยการจ้างงานระยะไกลหรือจ้างทีมสนับสนุนที่อาศัยในต่างประเทศอย่างเป็นประจำอยู่แล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่หลาย ๆ บริษัทก็ต้องปรับรูปแบบการบริหารบุคคล โดยการผสมผสานทีมสนับสนุนจากต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาหลักขององค์กร รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรที่มีทั้งทักษะฝีมือ ประสบการณ์ และความพร้อมภายในประเทศ

นโยบายการส่งเสริมการจ้างแรงงานต่างชาติของรัฐบาลสิงคโปร์

รัฐบาลสิงคโปร์เล็งเห็นถึงปัญหาและพยายามให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ โดยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 กระทรวงแรงงานสิงคโปร์ ประกาศเพิ่มการคืนเงินค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างชาติ (Foreign Worker Levy Rebate) เฉพาะสำหรับวิสาหกิจในภาคการก่อสร้าง อุตสาหกรรมทางทะเลและการต่อเรือ การเดินเรือ และอุตสาหกรรมกระบวนการ จากที่เคยคืนให้นายจ้างเดือนละ 90 ดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มเป็น 250 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อคน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ศกนี้ ซึ่งจะมีบริษัทกว่า 15,000 บริษัท ได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว โดยกระทรวงแรงงานสิงคโปร์ให้เหตุผลว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศ นโยบายดังกล่าว จะช่วยให้นายจ้างสามารถรักษาการจ้างงานที่มีอยู่ในปัจจุบันและว่าจ้างพนักงานจากประเทศที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำกว่า เช่นจากประเทศจีนได้ นอกจากนี้ในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้าง รัฐบาลยังช่วยผ่อนปรนค่าใช้จ่ายจากความยืดเยื้อในโครงการก่อสร้างของภาครัฐอีกด้วย

โอกาสของผู้ประกอบการและประชาชนไทยในเรื่องตลาดงานวิชาชีพและแรงงาน

เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่เช่นกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention-CDC) ได้จัดระดับให้ประเทศไทยอยู่ในระดับความเสี่ยงสูง (สิงคโปร์อยู่ในระดับปานกลาง) ดังนั้นโอกาสที่ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้าง หรือ สายงานบริการในสิงคโปร์จะพิจารณาใช้แรงงานจากประเทศไทยอาจจะยังมีน้อย เมื่อเทียบกับแรงงานจากประเทศจีน หรือเวียดนามที่เป็นประเทศระดับความเสี่ยงต่ำ แต่ผู้ประกอบการไทยหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ โดยเฉพาะสายงานเทคโนโลยี สามารถใช้โอกาสนี้เป็นช่องทางในการนำเสนอทีมงานหรือผลงานให้สิงคโปร์พิจารณาการจ้างงานระยะไกล หรือแม้กระทั่งพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะในขณะนี้ทประเทศอินเดียและเอเชียใต้ที่แม้จะยังทำงานจากระยะไกลได้ แต่ผลกระทบโดยรวมจากการติดเชื้อโควิด-19 ในระดับสูงกว่าไทยมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพที่ลดลง ทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพไทยยังคงมีข้อได้เปรียบและมีโอกาสที่จะได้รับงานมากขึ้น


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง