สิงคโปร์เปิดสถาบันบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management Institute – WMI) แห่งใหม่

นาย Heng Swee Keat รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประสานงานด้านนโยบายเศรษฐกิจสิงคโปร์ ได้กล่าวในพิธีเปิดสถาบันบริหารความมั่งคั่ง Wealth Management Institute (WMI) วิทยาเขต One Marina Boulevard เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อสนับสนุนและพัฒนาทักษะแก่ทรัพยากรบุคคลด้านการเงินและการบริหารความมั่งคั่งในสิงคโปร์ พร้อมทั้งแสดงมุมมองต่อแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจ ดังนี้

ภาคบริการทางการเงินสิงคโปร์

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาคบริการทางการเงินของสิงคโปร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2564 เติบโตร้อยละ 8 ช่วยสร้างงาน 2,000 ตำแหน่งแก่คนชาติและ PR ของสิงคโปร์ ภาคการเงินของสิงคโปร์มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องและจะช่วยสร้างงานมากขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม ภาควิสาหกิจและองค์กรธุรกิจจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงในภาคการเงินอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังคงมีความไม่เสถียรจากปัจจัยต่าง ๆ

สิงคโปร์ได้เตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพื่อพัฒนาภาคบริการทางการเงินของสิงคโปร์ ทั้งด้านการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ของโลก และการรักษาสถานะของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกและภูมิภาคตามแผนงาน ได้แก่ (1) แผนงานการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน (Finance Services Industry Transformation Roadmap)  ซึ่งธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore – MAS) ประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 โดยให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจ โครงการยกระดับทักษะอาชีพ และการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี (2) แผนปฏิบัติการทางการเงินสีเขียว (Green Finance Action Plan)  ซึ่ง MAS ประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2563 เน้นกลยุทธ์ 4 ด้าน คือ 1) การส่งเสริมความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของภาคการเงิน 2) การพัฒนาตลาดและการแก้ปัญหาเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 3) การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และ 4) การให้ความรู้และพัฒนาศักยภาพแก่บุคลากรในอุตสาหกรรม

การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในสิงคโปร์  

การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่ง (Asset and Wealth Management) เป็นส่วนสำคัญของภาคบริการทางการเงิน และเป็นพื้นฐานของการเป็นศูนย์กลางด้านการเงินโลก (Global Financial Node) ของ สิงคโปร์ การบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในเอเชียมีมูลค่ามหาศาล นักลงทุนจากทั่วโลกมีความเชื่อมั่นในสิงคโปร์ และได้ใช้สิงคโปร์เป็นฐานในการแสวงหาโอกาสด้านการเงิน การจัดตั้งกองทุน และความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

สิงคโปร์ได้จัดตั้งสถาบันบริหารความมั่งคั่งขึ้นเมื่อปี 2546 โดยมีการบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งไม่มากนัก สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (Asset under management – AUM) มีมูลค่า 465,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ แต่ในปัจจุบัน AUM ทั้งหมดในสิงคโปร์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 4,700,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า รวมทั้งมีสมาชิกใน ecosystem ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น (1) ผู้จัดการแบบดั้งเดิม (2) Private equity การลงทุนในหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (3) Venture capital กองทุนที่เข้าไปลงทุนในบริษัทเอกชนตั้งแต่ช่วงแรกของการก่อตั้งกิจการ (4) Hedge funds กองทุนที่มีความยืดหยุ่นในการลงทุนสูง สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ประเภทใดก็ได้ และ (5) Family offices การบริหารความมั่งคั่งหรือสินทรัพย์ของเจ้าของธุรกิจครอบครัว

สถาบันบริหารความมั่งคั่งสิงคโปร์

กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ (Government of Singapore Investment Corporation – GIC) และบริษัท Temasek ร่วมกันก่อตั้งสถาบันบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management Institute – WMI) เมื่อปี 2546 เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านการเงิน และเป็นผู้นำการฝึกอบรมด้านการบริหารความมั่งคั่งและทรัพย์สิน เฉพาะช่วงปี 2562 – 2564 สถาบัน WMI ได้ให้บริการฝึกอบรมผู้เข้าร่วมจากภาคธนาคารเอกชนมากกว่า 8,000 ราย ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถและสนับสนุนลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และได้จัดทำโครงการเร่งการจัดการสินทรัพย์ (Asset Management Accelerator Programme) เพื่อสนับสนุนและเตรียมความพร้อมให้แก่บุคลากรใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม โดยมีหลักสูตรเสริมทักษะที่ได้รับการรับรองจากสถาบันการธนาคารและการเงินสิงคโปร์ (The Institute of Banking & Finance Singapore – IBF) ด้วย

นาย Foo Mee Har ผู้บริหาร WMI กล่าวว่า ใน 3 ปีข้างหน้า WMI วางเป้าหมายที่จะฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักลงทุน 1,000 คนในด้านการเงินที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance – ESG) โดยเฉพาะการอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนทั้งด้าน family offices การจัดการสินทรัพย์และธนาคารเอกชน ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม 2565 สถาบัน WMI จะเปิดตัวโครงการ Applied ESG Investing certification programme ด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อสังเกต

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 MAS และ IBF ยังได้เปิดตัวชุดทักษะและความสามารถทางเทคนิคทางการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance Technical Skills and Competencies) ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินพึงมี เช่น ผู้จัดการสินทรัพย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์โอกาสการลงทุนที่ยั่งยืนและบูรณาการ ESG ให้เข้ากับแนวทางการลงทุนปรกติ ทั้งยังควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบในด้านต่าง ๆ

โดยที่ชนชั้นกลางในเอเชียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วส่งผลให้ความมั่งคั่งของภาคเอกชนในเอเชียเติบโตได้เร็วเช่นกัน ประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์หากจัดทำสถาบันหรือหลักสูตรอบรมสำหรับนักลงทุนและบุคลากรสายงานด้านการเงิน และการบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในไทย โดยอาจเพิ่มพูนความร่วมมือในด้านนี้กับสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาทักษะ ความเชี่ยวชาญ นำสู่การพัฒนาความมั่งคั่งสู่ประชาชน เอกชน และ เศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน


 1จำนวนเงินที่สถาบันการเงินจัดการในนามของลูกค้า


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง