เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 หนังสือพิมพ์ The Business Times ได้นำเสนอบทความเขียนโดยนาย Peter Janssen ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย มีเนื้อหาเกี่ยวกับแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งให้ความเห็นว่าการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าดังกล่าวจะไม่คุ้มค่าในระยะยาว อันเนื่องมาจาก (1) ปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทย ที่หดตัว 6.5% ในปี 2563 จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 และน่าจะฟื้นตัวและขยายตัวเพียง 4% ในปี 2564 (2) ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ และ (3) การกำหนดเส้นทางเดินรถผ่านพื้นที่ที่มีประชากรไม่หนาแน่น บทความจึงตั้งคำถามโดยอ้างอิงนักเศรษฐศาสตร์/นักวิจัยของไทยว่า โครงการพัฒนารถไฟฟ้าฯ มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของไทยจะเกิดความคุ้มค่าหรือไม่

การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ (BTS SkyTrain) เริ่มขึ้นเมื่อปี 2543 โดยเริ่มจากพื้นที่เศรษฐกิจและธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ จากนั้นได้ขยายไปสู่บริเวณเขตที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยในปัจจุบันระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ มีระยะทางรวมประมาณ 180 กิโลเมตร และมีแผนจะขยายระยะทางเป็น 560 กิโลเมตร ภายในปี 2572 (ตามแผนแม่บทระยะ 20 ปี) ซึ่งยาวกว่าระบบรถไฟฟ้าในกรุงลอนดอน สหราอาณาจักร (London’s Tube) ที่มีระยะทาง 420 กิโลเมตร ซึ่งบทความได้วิเคราะห์ว่า โครงการพัฒนารถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลของไทยจะไม่คุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากปัจจัย (1) การประกาศปรับอัตราค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านใจกลางเมือง) ตลอดสาย เป็นเงิน 104 บาท จะทำให้มีผู้ใช้บริการน้อยลง (2) ระบบเชื่อมต่อระหว่างสถานีชุมทางยังไม่มีประสิทธิภาพ (เท่ากับระบบเชื่อมต่อของสิงคโปร์) และ (3) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
โดยปัจจุบันไทยมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 12 ล้านคน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนในปี 2583 ซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่นิยมการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า

ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนตั้งข้อสังเกต คือ นับตั้งแต่ปี 2541 – 2560 ราคาที่ดินโดยรอบสถานีรถไฟฟ้าในเมือง (สายสีเขียว) เพิ่มสูงขึ้นถึง 10 เท่า และราคาคอนโดมิเนียมในรัศมี 800 เมตรจากสถานีฯ ในเมืองสูงขึ้น 10% ต่อปี ซึ่งต่างจากสถานีรถไฟฟ้านอกเมือง (สายสีม่วง) ที่ส่วนใหญ่มีประชากรไม่หนาแน่นมากพอที่จะพัฒนารถไฟฟ้าแล้วเกิดความคุ้มทุน ทั้งยังมีปริมาณคอนโดมิเนียมมากกว่าความต้องการจริง ดังนั้น ผู้เขียนจึงประเมินว่า ในอนาคตผู้โดยสารที่อาศัยอยู่นอกเมืองจะใช้บริการรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางเข้าเมืองไปทำงานในเมืองไม่มากนัก

ในส่วนของสิงคโปร์นั้น ปัจจุบันมีระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 2 ระบบ ได้แก่ (1) Mass Rapid Transit (MRT) เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2530 และพัฒนาเป็น 6 สายรอบประเทศ ประกอบด้วยสถานี 130 แห่ง ระยะทางรวม 230 กม. (ยังไม่รวมเส้นทางที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีผู้ใช้บริการ 3,000,000 คน/วัน และ (2) Light Rail Transit (LRT) หรือระบบรถไฟฟ้ารางเบาเพื่อเชื่อมเขตเมืองใหม่ที่มีผู้อาศัยอยู่ไม่หนาแน่นกับ MRT เข้าสู่ตัวเมือง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2543 ปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาย ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกของสิงคโปร์ ประกอบด้วยสถานี 40 แห่ง ระยะทางรวมทั้งสิ้น 28 กิโลเมตร โดยมีผู้ใช้บริการประมาณ 200,000 คน/วัน

กรมการขนส่งทางบกสิงคโปร์ (Land Transport Authority – LTA ) วางแผนการขยายเส้นทางระบบ MRT อีก 50% โดยจะมีระยะทางรวม 360 กิโลเมตร ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ตามหลักการเข้าถึงได้ง่ายและสะดวก คือ ให้ประชาชนทุกคนสามารถเดินจากบ้านพักไปยังสถานี MRT ได้ภายใน 10 นาที อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 นาย Khaw Boon Wan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสิงคโปร์ (ในขณะนั้น) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า แผนการดังกล่าวอาจล่าช้าไปบ้างเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่รัฐบาลสิงคโปร์จะยังคงดำเนินโครงการขยายเส้นทาง MRT ต่อไป นอกจากนี้ LTA ได้เตรียมรื้อถอนตู้โดยสารรถไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท Kawasaki ของญี่ปุ่นออก เนื่องจากใช้งานมาแล้วมากกว่า 30 ปี และจะนำตู้โดยสารใหม่ของบริษัท Bombardier ของแคนาดา มาทดแทนในเร็ว ๆ นี้

สำหรับการเก็บค่าโดยสารในสิงคโปร์ ผู้โดยสารจะชำระผ่านบัตร EZ-link ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ทั้งหมดในสิงคโปร์ โดยคำนวณค่าโดยสารตามระยะทาง เริ่มต้นที่เพียง 0.42 ดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือประมาณ 9.45 บาท) ทั้งยังมีระบบส่วนลดค่าโดยสารเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการขนส่งมวลชนให้มากที่สุด กล่าวคือ ผู้โดยสารที่เดินทางด้วยขนส่งมวลชนหลายประเภทอย่างต่อเนื่องในเวลาที่กำหนด จะได้รับส่วนลดค่าโดยสารมากขึ้นไปด้วย (เช่น โดยสารรถไฟ LRT ไปต่อรถไฟ MRT หรือ โดยสารรถไฟ MRT ไปต่อรถประจำทาง เป็นต้น)

สิงคโปร์ได้ออกแบบระบบขนส่งสาธารณะให้ผู้ใช้บริการปราศจากอุปสรรคในการเดินทาง เช่น ทางลาดสำหรับรถเข็นและลิฟต์โดยสาร เพื่ออำนวยความสะดวกเด็ก ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้มีสัมภาระ และผู้มีปัญหาสุขภาพ รวมถึงการสร้างสถานีเพื่อเชื่อมต่อชุมทางรถประจำทางเข้ากับรถไฟฟ้า (Bus Interchange) เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในเขตพักอาศัยหนาแน่น โดยมีศูนย์อาหารและห้างสรรพสินค้าบริเวณโดยรอบสถานีชุมทางดังกล่าวด้วย อีกทั้งรัฐบาลสิงคโปร์ ได้มีการรวบรวมข้อมูลสถิติจำนวนผู้โดยสารในแต่ละช่วงเวลาและเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ Startup นำข้อมูลไปพัฒนา Application ใหม่ ๆ ที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตทันสมัยนปัจจุบัน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการคมนาคม/ขนส่งทางบกแบบครบวงจรใน Application เดียว


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง