สิงคโปร์จัดงาน Singapore Week of Innovation and Technology (SWITCH) 2023 จัดโดย Enterprise Singapore ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2566 ณ Sands Expo & Convention Centre โดยมีนายเฮง สวีเกียต (Heng Swee Keat) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประสานงานด้านนโยบายเศรษฐกิจของสิงคโปร์เป็นประธานกล่าวเปิดงาน งานดังกล่าวเป็นงานแสดงด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสตาร์ทอัพที่ได้รับความสนใจอย่างมากในเอเชีย จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2559 เพื่อเป็นแหล่งเชื่อมโยงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศนวัตกรรมระดับภูมิภาคเอเชียและระดับโลก อาทิ สตาร์ทอัพ เจ้าของธุรกิจภาคเอกชน ผู้ลงทุนทางนวัตกรรม และหน่วยงานภาครัฐจากทั่วโลก ให้สามารถทำงานร่วมกันเพื่อแสวงหาโอกาสในการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

สิงคโปร์มุ่งสู่เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech)  

โลกกำลังเผชิญความท้าทายที่หลากหลาย โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้ทุกประเทศมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งประเด็นทางสังคม เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การต่อสู้กับเชื้อไวรัส/เชื้อแบคทีเรียที่เป็นภัยต่อมนุษย์ โดยสิงคโปร์เชื่อว่า นวัตกรรมที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงและเป็นประโยชน์ในวงกว้างมักจะเกิดจาก Deep Tech โดยยกตัวอย่าง Deep Tech ที่เป็น “gamechangers” ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ อาทิ การวิจัย mRNA ของ ดร. Katalin Kariko และ ดร. Drew Weissman จนสามารถพัฒนาเป็นวัคซีนโควิด-19 และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโปรแกรม ChatGPT ที่ช่วย transform ธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

สิงคโปร์ตระหนักว่า Deep Tech ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยง่าย จึงมีแนวทางที่จะพัฒนาระบบนิเวศสำหรับ Deep Tech แบบครบวงจรอย่างจริงจัง โดยจะดึงดูดให้สตาร์อัพด้านนวัตกรรม ธุรกิจขนาดใหญ่ นักลงทุน (venture capital) ผู้สร้างสตาร์ทอัพ (venture builder) รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ใช้จุดแข็งของกันและกันในการพัฒนานวัตกรรมให้รวดเร็วขึ้นจนสามารถเกิด breakthrough และก้าวสู่ระดับ unicorn ได้

แนวทางการพัฒนา Deep Tech ของสิงคโปร์

สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายในการวางตำแหน่งของประเทศให้เป็นจุดเชื่อมโยงเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียและระหว่างภูมิภาคเอเชียกับโลก และต้องการพัฒนาระบบนิเวศ Deep Tech ภายในประเทศให้กว้างขวาง ครอบคลุมและลึกซึ้งมากขึ้น โดยส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัทภายในประเทศให้เพียงพอ ทั้งนี้ ระหว่างปี 2564 – 2568 รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้กว่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 1 ใน 5 ของงบประมาณจำนวนนี้ใช้เพื่อการส่งเสริมแพลตฟอร์มนวัตกรรมและพัฒนาขีดความสามารถของนวัตกรและนักธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยปัจจุบันสิงคโปร์มีสตาร์ทอัพด้าน Tech กว่า 4,500 ราย มีบริษัทลงทุน (venture capital) กว่า 400 ราย และมี incubator และ accelerator กว่า 220 ราย โดยภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับบริษัทเอกชน รวมทั้งพัฒนานโยบายและปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนาและสนับสนุน Deep Tech

ทั้งนี้ สิงคโปร์ต้องการเร่งผลักดันการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ใน Deep Tech โดยหน่วยงาน Enterprise Singapore ร่วมกับ Infocomm Media Development Authority (IMDA) จะสร้าง Sandbox สำหรับสตาร์ทอัพ Deep Tech ที่ใช้ AI ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การดำเนินธุรกิจทั้งในส่วนของโดเมน การทำตลาด การขาย และการมีส่วนร่วมของลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ ภาครัฐจะช่วยสนับสนุนโดยสร้างความร่วมมือกับ Google Cloud ในการสนับสนุนเงินทุน คลาวด์เครดิต และการเข้าถึงคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของ Google ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกสำหรับสตาร์ทอัพของสิงคโปร์โดยเฉพาะ โดยโครงการนี้จะเริ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2567

นอกจากนี้ IMDA ได้ประกาศเปิดตัว Generative AI Evaluation Sandbox เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์นักสร้าง” ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนภายใต้ข้อมูลที่มีอยู่ให้เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงานได้หลากหลายประเภท ขณะนี้มีบริษัทระดับโลกเข้าร่วมโครงการแล้ว 12 ราย อาทิ Google Microsoft Anthropic เพื่อร่วมสนับสนุนผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน โดยมี IMDA เป็นผู้สนับสนุนด้านกฎระเบียบ

การสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก

แม้สิงคโปร์จะเป็นตลาดขนาดเล็กแต่สามารถเป็นตัวเชื่อมในภูมิภาคและกับโลกได้ โดยสิงคโปร์ต้องการสร้างความเชื่อมโยงเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ จึงเปิดรับความร่วมมือและการสนับสนุนด้านการลงทุน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น รวมทั้งองค์กร บริษัทข้ามชาติ และผู้ลงทุนเพื่อการกุศล

สิงคโปร์เริ่มต้นโครงการ Global Innovation Alliance ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อเชื่อมโยงและสร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพและนักศึกษาสิงคโปร์สามารถเข้าถึงแหล่งพัฒนานวัตกรรมที่สำคัญทั่วโลก ปัจจุบันสิงคโปร์มีความร่วมมือกับหน่วยงานของประเทศต่าง ๆ ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง โดยล่าสุดได้ขยายความร่วมมือกับอีก 3 เมือง ได้แก่ มุมไบ ซิดนีย์ และเมลเบิร์น รวมเป็น 21 เมือง โดย Enterprise Singapore ซึ่งมีสำนักงานในต่างประเทศ 37 แห่ง ใน 23 ประเทศทั่วโลกจะทำหน้าที่ประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อช่วยสนับสนุน โดยมุ่งเน้นสาขา FinTech สุขภาพ และ MedTech เทคโนโลยีใน Supply Chain เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน และปัญญาประดิษฐ์

ข้อสังเกตและข้อมูลเพิ่มเติม

สิงคโปร์ได้พัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพจนปัจจุบันเป็นแหล่งรวมสตาร์ทอัพที่สำคัญและโดดเด่นในภูมิภาค โดยมีธุรกิจสตาร์ทอัพจำนวน 4,988 ราย ผู้ลงทุน (Investors) 523 ราย และ Incubators & Accelerators 247 ราย ในกว่า 50 สาขา (sectors) จึงทำให้มีความพร้อมเพียงพอที่จะก้าวไปสู่ Deep Tech ทั้งนี้ สิงคโปร์มองว่า ระบบนิเวศสำหรับ Deep Tech ไม่สามารถสร้างโดยลำพังได้ แต่ต้องร่วมกันพัฒนา และการที่จะประสบผลสำเร็จในการพัฒนา Deep Tech เพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาความท้าทายของโลกได้จะต้องสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่ง SWITCH เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สิงคโปร์ริเริ่มขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพทั้งในภูมิภาคและในโลก

งาน SWITCH ของสิงคโปร์เป็นงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมขนาดใหญ่ในภูมิภาค นอกจากบูธ ของภาคเอกชนและหน่วยงานที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยีของประเทศต่าง ๆ แล้ว กิจกรรมในงานยังประกอบด้วยเวทีสัมมนา เวที pitching ของสตาร์ทอัพเพื่อหาผู้ลงทุน และการแสดงผลงานของผู้ประกวดผลงานสตาร์ทอัพ โดยงานในปีนี้หน่วยงานไทยที่เข้าร่วมออกบูธ ได้แก่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ซึ่งนำผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทยเข้าร่วม 4 ราย เพื่อสร้างโอกาสพัฒนาธุรกิจและสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคให้กับสตาร์ทอัพไทย


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง
  • Featured Image Source: Canva