หลังจากเกิดเหตุเมื่อเช้ามืดของวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งกลุ่ม Hamas ในปาเลสไตน์ได้เปิดฉากโจมตีอิสราเอลโดยการยิงขีปนาวุธครั้งใหญ่อย่างไม่คาดคิด ก่อให้เกิดการสู้รบที่รุนแรงและร้ายแรงที่สุดในทศวรรษนี้

ปัจจุบันสงครามอิสราเอล – ปาเลสไตน์ยังไม่มีผลกระทบต่อสิงคโปร์โดยตรง แต่อย่างไรก็ตามหากสงครามยืดเยื้อและขยายตัวไปสู่ดินแดนส่วนอื่นของภูมิภาคตะวันออกกลางก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสิงคโปร์ได้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซ่า พร้อมเรียกร้องให้ทั้งอิสราเอลและกลุ่มปาเลสไตน์หันมาเจรจาเพื่อการก้าวไปสู่การเป็นระบบ 2 รัฐ (Two-state solution) โดยแบ่งเขตการปกครองแยกเป็นประเทศอิสระจากกัน และเคารพอำนาจอธิปไตยซึ่งกันและกัน  เพื่อความสงบสุขและสันติภาพของประชาชนทั้งสองฝ่ายตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ผลกระทบต่อธุรกิจเดินเรือและนำเข้าสินค้า

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 โฆษกของบริษัทท่าเรือและการขนถ่ายสินค้าสิงคโปร์ (Port of Singapore Authority: PSA) กล่าวในการให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ The Straits Times ว่าผลกระทบจากสงครามอิสราเอล – ปาเลสไตน์ต่อการขนส่งทางทะเลของโลกยังอยู่ในวงจำกัดและส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์น้อยมากเนื่องจากตู้คอนเทนเนอร์ที่ผ่านทางเรือของอิสราเอล มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.4 จากจำนวนคอนเทนเนอร์ทั่วโลกแต่อย่างไรก็ตาม การท่าเรือของสิงคโปร์  (Maritime and Port Authority of Singapore: MPA) ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์เดินเรือในคลองสุเอซ (Suez Canal) และช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ที่อาจได้รับผลกระทบหากสถานการณ์ยืดเยื้อ

คลองสุเอซเป็นจุดเดินเรือสำคัญที่เชื่อมการเดินเรือของทวีปยุโรป ภูมิภาคตะวันออกกลางเข้าสู่ทวีปเอเชีย หากเกิดการสู้รบในบริเวณดังกล่าว การขนส่งจะต้องอ้อมไปยังทวีปแอฟริกา ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งทางเรือจากยุโรปมาเอเชีย รวมทั้งต้นทุนของการขนส่งทางเรือของสิงคโปร์สูงขึ้น ผลกระทบในลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 เมื่อเรือขนส่งขนาดใหญ่ปิดกั้นเส้นทางเดินเรือในคลองสุเอซ ราคาขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ซึ่งส่งออกจากจีนไปยุโรปขณะนั้นปรับตัวสูงถึง 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 10,970 ดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับราคาในปี 2563

ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งกั้นระหว่างอ่าวเปอร์เซียของอิหร่านกับอ่าวโอมาน ยังเป็นช่องทางหลักในการขนส่งน้ำมันดิบของประเทศในอ่าวเปอร์เซียสู่ตลาดโลก หากได้รับผลกระทบจากสงครามก็อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

การท่าเรือสิงคโปร์ (MPA) ได้แนะนำให้เจ้าของเรือขนส่ง ผู้จัดการเรือ ผู้เดินเรือและกัปตันของสิงคโปร์ประเมินความเสี่ยงหรือพิจารณาหาแผนสำรองเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการค้าในบริเวณสู้รบ ภาวะสงครามยังอาจส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาสู่สิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นได้ เนื่องจากค่าขนส่งจะบวกรวมเบี้ยประกันภัยสงครามที่เพิ่มขึ้นเข้าไปด้วย

Dr. Taimur Baig  หัวหน้าแผนกวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจของ DBS Bank ได้ประเมินว่าราคาน้ำมันและแก๊สธรรมชาติอาจปรับตัวสูงขึ้นอีก หากสงครามขยายวงกว้างออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียกลาง เช่น อิหร่าน โดยราคาน้ำมันโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นทันทีที่อัตราร้อยละ 5 หลังการเริ่มต้นสงครามในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการปรับตัวของราคาน้ำมันจะส่งผลโดยตรงต่ออัตราเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้น ในรอบปีที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการลดอัตราเงินเฟ้อจากร้อยละ 7.5 ในเดือนสิงหาคม 2565 เป็นร้อยละ 4 โดยมีปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญคือต้นทุนพลังงานและค่าขนส่งเอกชนที่ลดลงจากปีก่อน ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นอันเนื่องมาจากสงครามจึงอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อมาตรการลดอัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์

ผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และราคาทองคำ

นาย Stephen Innes ผู้อำนวยการของบริษัทบริหารหลักทรัพย์ SPI ได้วิเคราะห์ว่า หากสงครามอิสราเอล- ปาเลสไตน์ ยังดำเนินและขยายตัวต่อไป ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งภายในและทั่วโลกและเป็นผลให้ตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลกปรับตัวลดลง เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2566 ตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียหลายแห่งตกลงพร้อมกัน เช่น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nikkei ของญี่ปุ่น ตกลงร้อยละ 1.86  ตลาด Hang Seng ของฮ่องกงตกลงที่ร้อยละ 1.72 ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Straits Time ของสิงคโปร์ ลดลงร้อยละ 1.31 เนื่องจากนักลงทุนหันให้ความสนใจในทองคำซึ่งเป็นหลักประกันความปลอดภัยที่ได้รับความนิยมในช่วงสงคราม โดยราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่เกิดสงคราม

ข้อมูลเพิ่มเติม/ข้อสังเกต

ด้วยระยะทาง แม้สงครามอิสราเอล – ปาเลสไตน์ดูห่างไกลจากเอเชียและสิงคโปร์ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก แต่หากเหตุการณ์ยืดเยื้อและขยายวงกว้างไปยังประเทศใกล้เคียงในตะวันออกกลาง ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสิงคโปร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการไทยควรตระหนักถึงผลกระทบทางตรงและทางอ้อมที่อาจเกิดขึ้นได้และเตรียมแผนสำรองเพื่อรับมือกับผลของสงครามที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อ ทั้งในด้านการลงทุนเนื่องจากต้นทุนการลงทุนในสิงคโปร์อาจปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อในอนาคต นักลงทุนในตลาดเงินควรปรับพอร์ตการลงทุนโดยเพิ่มน้ำหนักผลกระทบของสงครามในการพิจารณาลงทุนและอาจปรับตัวไปลงทุนในทรัพย์สินปลอดภัยช่วงนี้


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง