ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่ผ่านมา สถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสิงคโปร์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุข (MOH) จึงได้ใช้ประกาศเตือนประชาชนเพื่อให้แน่ใจว่าระบบสาธารณสุขสามารถรักษาขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยได้

สถานการณ์โควิด-19 ของสิงคโปร์และประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบัน

จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในสัปดาห์วันที่ 10 – 16 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 58,300 ราย (จาก 56,043 ราย ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า) โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มเป็น 965 ราย (จาก 763 รายในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า) และจำนวนผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) โดยเฉลี่ยต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 32 ราย (จาก 23 รายในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า) โดยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอาจเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ การเดินทางในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวและช่วงสิ้นปี รวมถึงภูมิคุ้มกันของประชาชนที่ลดลง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์พบว่า สายพันธุ์โควิด-19 โอไมครอน สายพันธุ์ย่อย JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ BA.2.86 เป็นสาเหตุของโควิด-19 ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า BA.2.86 หรือ JN.1 สามารถแพร่เชื้อได้หรือทำให้มีอาการที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น          

รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังมียอดผู้ป่วยสูงขึ้น ในขณะที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้นก่อนช่วงวันหยุดสิ้นปี โดยมาเลเซียมีจำนวนผู้ป่วยโควิดเพิ่มขึ้น 62.2% จากช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (20,696 ราย) โดยส่วนใหญ่ (97%) เป็นผู้ป่วยที่มีอาการน้อย แต่มีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 96 ราย และเสียชีวิต 28 ราย ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการกลับมาใช้ Heightened Alert System และใช้การตรวจคัดกรองโควิด-19 ในระบบ TRIIS (test, report, isolate, inform and seek) ส่วนประเทศไทยมีรายงานการติดเชื้อโควิด-19 ประมาณวันละ 5,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา ด้านอินโดนีเซียจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วงเดือนธันวาคม โดยแต่ละประเทศมุ่งเน้นการขอความร่วมมือประชาชนในการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ และฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

การปฏิบัติตนเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ได้ทำงานร่วมกับโรงพยาบาลของรัฐในการวางแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงจัดเตรียมความพร้อมของกำลังคน และเตียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาขีดความสามารถด้านการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองประเภทของผู้ป่วย การปรับเตรียมพื้นที่ อาทิ จัดสรรการดูแลผู้ป่วยหลังจากผ่านภาวะวิกฤติ (Transitional Care Facilities) และรูปแบบการดูแลทางเลือก เช่น Mobile In Patient Care@Home (MIC@Home) สำหรับบุคคลที่มีอาการไม่มากควรรักษาตัวอยู่บ้านจนกว่าอาการจะหาย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เน้นการสวมหน้ากากอนามัย ลดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สำหรับผู้ที่เดินทางควรใช้มาตรการป้องกัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัยที่สนามบิน ซื้อประกันการเดินทาง และหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด นอกจากนี้ ยังขอให้ประชาชนไปรับการรักษาพยาบาลที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลเฉพาะกรณีฉุกเฉินหรือร้ายแรงเท่านั้น เพื่อรักษาศักยภาพของโรงพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตได้อย่างทันท่วงที

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชาชนหาซื้อชุดตรวจโควิดมากขึ้น และทำให้ร้านค้ามีสินค้าไม่เพียงพอ กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ (MOH) จึงออกมาให้ความมั่นใจว่าชุดตรวจโควิด-19 และยาที่เกี่ยวข้องยังคงมีปริมาณเพียงพอและจะทยอยออกสู่ตลาดตามความเหมาะสม โดยขอให้ประชาชนใช้ตามความจำเป็น และไม่ซื้อเพื่อกักตุน โดยกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์จะอัปเดตข้อมูลทุกสัปดาห์ที่หน้าเว็บไซต์ https://www.moh.gov.sg

การฉีดวัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง

ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มกระตุ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่ำกว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วนานกว่า 1 ปี จึงเชิญชวนให้ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป บุคคลที่มีความเสี่ยงทางการแพทย์ รวมถึงประชาชนที่ได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกินกว่า 1 ปี เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยสามารถฉีดได้ฟรีที่ศูนย์ทดสอบและฉีดวัคซีนร่วม รวมถึง Public Health Preparedness Clinics และโพลีคลินิกบางแห่ง (สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://gowhere.gov.sg/vaccine)

กราฟแสดงอัตราผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและห้อง ICU ต่อประชากร 100,000 ราย
เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนล่าสุดน้อยกว่า 1 ปี และมากกว่าเท่ากับ 1 ปี
              ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Health: MOH)              https://www.moh.gov.sg/images/librariesprovider5/default-album/fig-1615b669db3c842f7afb806bf79d21a52.png?sfvrsn=d4932438_0

ข้อมูลเพิ่มเติม/ข้อสังเกต

สิงคโปร์ รวมถึงประเทศข้างเคียงอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เริ่มออกคำแนะนำและขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยและฉีดวัคซีน จากจำนวนการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ ประเมินว่าสถานการณ์ยังสามารถควบคุมได้และเชื้อโควิด-19 ไม่รุนแรงเท่าที่ผ่านมา จึงยังไม่มีมาตรการบังคับและยังไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์หรือปิดพรมแดน โดยรัฐบาลมุ่งสร้างความมั่นใจว่า เศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่าง ๆ จะยังคงดำเนินไปได้และไม่หยุดชะงัก


ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทย (BIC)
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์


ข้อมูลอ้างอิง